วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

"The New Normal ที่เราต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง" โดย อาจารย์อ๊ะ ที่ปรึกษา Startup สำหรับ SME

     วันนี้ผมว่าเราได้ยินคนพูดถึงคำว่า "New Normal" กันมากขึ้นเรียกว่าเราจะได้ยินทุกวันทุกสื่อทั้งคนดังที่มีชื่อเสียงออกมาพูดและคนในวงการสื่อในโลกออนไลน์จากเหล่า Influencer เรียกได้ว่า คำนี้เกิดมาคู่กับสถานการณ์โลกที่ต้องเผชิญกับปัญหาโรคระบาดในปี 2020 นี้ ที่เรียกว่า ไวรัส Corona ที่ปัจจุบันเราจะเรียกกันสั้นๆ ว่า ไวรัส Covid-19 ซึ่ง 19 ก็หมายถึงปลายปี 2019 ที่เกิดการระบาดของไวรัสชนิดนี้ที่เมือง อู่ฮั่นที่ประเทศจีนนั่นเอง  ซึ่งต่างก็แพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงปัจจุบันนี้ คือ ปลายเดือน เมษายน 2020  ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกทะลุหลักล้านคนและยอดผู้เสียชีวิตทะลุหลักแสนคนจนสถานการณ์เข้าขั้นที่ควบคุมไม่ได้หลายประเทศจึงออกมาตรการ ประกาศ Lock Down ให้ผู้คนอยู่ในบ้านและพยายามงดการออกไปพบปะผู้คนและหลายกิจการต้องถูกปิดตัวชั่วคราวลงไป(หลายกิจการอาจปิดถาวรเพราะไม่มั่นใจว่าสถานการณ์จะพลิกฟื้นมาเมื่อไหร่!) 

     ผู้คนทั่วโลกมีอัตราการว่างงานหลายล้านคนหลายบริษัทเริ่มปรับลดเงินเดือนพนักงานลงแทนที่จะเลือกปลดพนักงานออกถึงแม้ว่าในสถานการณ์ดูเหมือนจะสามารถควบคุมผู้ติดเชื้อได้ในหลายประเทศ(รวมทั้งประเทศไทยด้วย) แต่ก็ยังไม่มีสัญญานของการค้นหาวัคซีนหรือตัวยาที่สามารถฉีดเพื่อป้องกันหรือจัดการกับไวรัสตัวนี้ได้เพราะวงการแพทย์ต่างก็ต้องใช้เวลาวิจัยทางการแพทย์ไม่ต่ำกว่า 1 ปีจากข่าวหลายสำนักพูดตรงกัน วันนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสงครามเชื้อโรคที่เราไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร? หลายสำนักมีการประมาณการณ์ไว้ว่าอาจถึง 18 เดือน ถึง 2 ปี ที่เราต้องอยู่กับมันให้ได้และเราต้องทำ Work From Home ไปจนถึงขั้น Stay at Home กันอีกต่อไปซึ่ง ผมว่าหลายคนเริ่มชินกับมันและเริ่มที่จะปรับตัวกันได้บ้าง(แต่ไม่อาจถึง 100% เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องพบปะผู้คนจริงหรือไม่?) และอีกหลายคนก็ยังทำใจลำบากและทำตัวลำบากกับการอยู่แต่ในบ้านเพราะไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตในรูปแบบปกติเหมือนเคย ดังนั้นคำว่า "New Normal" จึงกลายเป็น "มาตรฐานใหม่ที่ดูเป็นปกติที่เราต้องทำมันจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่(New Norm) ในสังคมเรา" หรือจะให้เรียกสั้นๆ ว่าจริงๆมันก็คือ "นิสัยใหม่" ของเราที่เราถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงเพราะ ไวรัสตัวนี้นั่นเอง! ทำให้เราได้รับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าการ "Disrupt" ทางเทคโนโลยีหรือถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ไวรัส Covid-19 เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาให้ทั่วโลกเข้าสู่สังคมการใช้ชีวิตใหม่ที่เร็วขึ้นมากและเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ....เพราะ




          หลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น(System Thinking) เช่น การกินเพื่ออยู่หรือจะอยู่เพื่อกิน, การที่ต้องสำรองอาหารไว้ล่วงหน้าหลายมื้อ, การกลับมาใช้วิธีหุงหาหรือทำอาหารง่ายๆ ไว้ทานกันเองในบ้านจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอกบ่อยๆ, การออกกำลังกายที่บ้าน(เพราะ Fitness ปิดหมด) การใช้มือถือในการสั่งอาหารมารับประทาน(เพราะร้านอาหารไม่ให้นั่งรับประทานในร้านดังนั้น ธุรกิจ Food Delivery จะโชคดีสุดๆ) การสั่งของใช้ในบ้านผ่านมือถือ(ธุรกิจ E-Commerce จะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมาก), การทำธุรกรรมโอนเงินหรือจ่ายเงินผ่านมือถือเพิ่มขึ้นโดยที่เรารู้สึกว่าวันๆ หนึ่งเราไม่จำเป็นที่จะต้องพกเงินสด(เราอาจจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด(Cashless Society ที่เร็วขึ้น), การทำงานที่บ้านการประชุมออนไลน์ใช้แอปพลิเคชั่นที่เราไม่เคยใช้หรือเคยใช้แต่ไม่บ่อยก็กลับต้องใช้ถี่ขึ้น, หรือการสร้างงานจากออนไลน์ เช่น ใครไม่เคยใช้ Platform ในการขายของออนไลน์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะขายของบนโลกออนไลน์(ใครที่ทำอยู่ก่อนหน้าแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง) แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยใช้แอปพลิเคชั่นพวกนี้ เหล่านี้เป็นโลกใหม่สำหรับพวกเขาครับดังนั้นนาทีนี้ไม่มีใครเก่งเกินใครแล้วเพราะพวกเราโดน Set Zero กันทุกคน...เพราะมันคือทักษะใหม่(New Skill) ที่เราไม่อาจคิดว่าจะต้องใช้มันแต่นาทีนี้ "การตลาดและการขายของบนโลกออนไลน์จะเป็น "ทางรอดไม่ใช่ทางเลือก"

     รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เราต้องทำผ่านระบบออนไลน์หรือโปรแกรมบนมือถือ..ลากยาวไปจนถึงการปรับพื้นที่การใช้สอยในบ้านให้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในบ้านที่มากกว่าอยู่ที่ทำงานหรือเราอาจจะเข้าสู่บ้านอัจฉริยะ(Smart Home & Smart Living) กันเร็วขึ้นและนั่นเราก็จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของอินเตอร์เนตและระบบ Cloud ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น(ในอนาคตถ้าของในตู้เย็นของเราใกล้หมดระบบตู้เย็นของเราก็จะเตือนให้เราออกคำสั่งซื้อไปยังร้านค้าออนไลน์ทันที!) และนอกจากนั้นเราอาจจำเป็นต้องสมัครสมาชิครายเดือน(Subscribe) ของ Netflix เพื่อดูหนังแทนการออกไปดูหนังในโรงภาพยนตร์(เพราะห้างสพรรพสินค้าถูกปิดการให้บริการหรือเรายังไม่ไว้ใจในการที่เราต้องอยู่กันในสถานที่บริการที่มีการให้บริการกับคนเยอะๆ มารวมกัน)  หรือธุรกิจเกมออนไลน์ถูกกลับมาบูมอย่างต่อเนื่องอีกครั้งไม่ว่าจะเป็น E-Sport หรือ คนที่ต้องการเล่นเพื่อเพิ่มการพบป่ะเพื่อนใหม่ๆ รวมทั้งโปรแกรม Dating Online ต่างๆ ก็อาจกลับมาคึกคักอีกครั้ง! ภายใต้สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันโลกถูกกดลงแบบดิ่งสุดๆ ในรอบประวัติศาสตร์โลกแต่เราก็ไม่สามารถขับรถไปไหนมาไหนได้เหมือนสภาวะปกติ! 

         ถ้าวันนี้เราเห็นคนสูงอายุเริ่มเล่นไลน์และเฟสบุ๊คเพิ่มขึ้นต้องชื่นชมพวกเขาน่ะครับ ไม่ใช้เพราะเขาต้องการปรับตัวน่ะครับ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้มันถูกเชื่อมต่อเขากับสังคมและวิถีชิวิตของพวกเขาต่างหากและที่น่าชื่นชมก็คือ พวกเขาสามารถเชื่อมต่อความห่วงใยผ่านสังคม (Social Online) ที่ว่านี้ แบบนี้มันกลายเป็น New Normal ปกติที่เราคุ้นเคยและอยู่กับมันไปล่ะครับและอย่าลืมว่า "เทคโนโลยีนับวันได้แต่ถูกลงและมีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นมาก" ปัจจุบันนี้ มือถือ เครื่องล่ะ 4 พันบาทแต่มีประสิทธิภาพมากกว่ามือถือเครื่องละเป็นแสนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว  และถ้าจะใช้มือถือที่มีคุณสมบัติที่ว่านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วเราอาจจะต้องจ่ายถึงเครื่องล่ะ 2-3 หมื่นบาทแต่ก็ได้ประสิทธิภาพแค่ 30-40% ของมือถือเครื่องล่ะ 4 พันบาทในปัจจุบัน  หมายเหตุ: "ถ้าใครเคยใช้ Palm OS  หรือ Window Phone สมัยนั้นคงทราบดีและถ้าใครเคยใช้มือถือรุ่นกระดูกหมู ยี่ห้อ Motorola และ Nokia รุ่นยอดฮิต 3310 หรือรุ่นปุ่มปีกผีเสื้อ  คงทราบราคาและประสิทธิภาพกันดี แน่นอนว่า "ราคาที่จ่ายสามารถซื้อทองคำได้ 1 บาทในเวลานั้นเลยครับ!" 

    ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของอินเตอร์เนต(Internet) ซึ่งอีกไม่นานโครงข่าย 5 G ก็จะครอบคลุมทั้งประเทศไทย(อาจจะใช้เวลาอีก 1-3 ปี) แต่ผมก็ว่าปัจจุบันเราก็เพียงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่บนความเร็วของอินเตอร์เนตในปัจจุบันยกเว้นบางอาชีพหรือบางธุรกิจที่ต้องใช้ประโยชน์จากความเร็วของอินเตอร์เนตสูงๆ เช่นในโรงพยาบาล,(ในอนาคตเราอาจจะอยากใช้บริการ Tele Health กันมากขึ้นก็ได้!)  หรือในอุตสาหกรรมบางประเภทที่ต้องการความแม่นยำสูงแบบ Realtime และ Robotic (หุ่นยนต์) 

           วันนี้ในบทความของผมตอนนี้ผมจะไม่พูดถึงว่า The New Normal  "ใครจะได้ประโยชน์และใครจะเสียประโยชน์" แต่ผมจะเน้นย้ำที่ว่า "เราทุกคนต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง"  และจงใช้วิกฤติการณ์ครั้งนี้ ในการปรับเปลี่ยนเข้าหาทุกเทคโนโลยีที่เป็นไปได้ที่จะสามารถช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ไม่ว่าทางด้านปัจจัยสี่เอง หรือเราต้องสร้างความต้องการที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนทักษะของชีวิตและอยู่กับ    วิฤติการณ์นี้ให้ได้เสมือนว่าเรากำลังเรียนรู้เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ บนโลกใหม่ใบเดิมนี้! จงใช้ชีวิตและมองหาบรรทัดฐานใหม่ของสังคม ที่ไม่ว่าเราจะเป็นใครในสังคมนี้ที่อยู่ร่วมกัน คน Gen X, Gen Y , Gen Z หรือคนยุค Baby Boomer ไม่ว่าเราจะเป็นพนักงานบริษัท, ลูกจ้างชั่วคราวในบริษัท, เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ SME, คนที่ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ(Startup) หรือพนักงานในบริษัทระดับโลกหรือเจ้าของบริษัทระดับแสนล้านบาทก็ตาม...วันนี้เราอาจต้องตั้งคำถามให้กับตัวเราใหม่ว่า "เราพร้อมที่จะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงจากวิฤติในครั้งนี้จากวิสัยทัศน์ของเราในอีก 5-10 ปี ข้างหน้าหรือจากวิฤติการณ์ในครั้งนี้   เราจะใช้ "วิ" ไหนในการปรับตัว  "วิกฤติ" หรือ "วิสัยทัศน์" ก็จงเลือกเอาครับ!


     "ถ้าชอบบทความนี้และเห็นว่าเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ และคนที่คุณรักสามารถกดแชร์(Share) หรือคอมเม็นท์ (Comment) เพื่อแบ่งปันข้อมูลและความคิดเห็นในบทความนี้ให้กับทุกคนได้เช่นกันครับ"

-ด้วยความปรารถนาดีจาก-
แอดไลน์(Line) พิมพ์หา  @ajarnah
อ่านบทความอื่นต่อหรือติดตามอาจารย์อ๊ะได้ที่: www.ajarnah.com

***ติดตาม อาจารย์อ๊ะได้จากช่องทางด้านล่างนี้ครับ

1. เฟสบุ๊คส่วนตัว(Facebook Profile)

2.  เฟสบุ๊คแฟนเพจ (Fanpage)

3. ยูทูป(YouTube)

4.อินสตาแกรม(Instagram) 

5.Line@ เพื่อเป็น FC ของอาจารย์อ๊ะ(พิมพ์หา @ajarnah) มีด้วย กดแอดเพิ่มเพื่อนทักมาได้เลยครับ!


ปลถ้าอาจารย์อ๊ะ ถ่ายทอดสด Live เฟสบุ๊ควันไหนจะแจ้ง FC ทุกท่านให้ทราบล่วงหน้าอีกครั้งน่ะใน Line@ น่ะครับ แล้วพบกันครับ

        ผลงานเขียนของอาจารย์อ๊ะกับหนังสือชื่อ The Power of Positive Inspiration(แต่งเป็นภาษาอังกฤษที่คนไทยสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย) 

กดดาวน์โหลด(Download) อ่านได้แล้ววันนี้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ!

  แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ^^
   อาจารย์อ๊ะ