วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2562

หนังสือ 5 เล่มนี้ที่สตาร์ทอัพระดับโลกเขาแนะนำให้อ่านกัน!! โดย อาจารย์อ๊ะ -The Prince Of Startup

หนังสือ เล่มนี้ที่สตาร์ทอัพระดับโลกเขาแนะนำให้อ่านกัน!! 

สืบเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ทำการ Live เนื้อหานี้ไปและมีผู้ชมจำนวนมากที่อยากให้ผมสรุปเนื้อหานี้อีกครั้งโดยยังคงเนื้อหาใน Liveวันนั้นอยู่เหมือนเดิม....ได้ครับ....เพื่อ FC และ Super FC ของอาจารย์อ๊ะ จัดให้ได้ทันที.....ในบทความนี้ครับ ยาวหน่อยแต่ว่าคุ้มค่าในการอ่านมากครับแถมประหยัดเวลาในการอ่านของทุกท่านแบบเต็มเล่มก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 สัปดาห์กว่าจะอ่านจบทั้ง 5 เล่มแต่ผมตกผลึกและย่อยทั้ง 5 เล่มมาให้ในบทความนี้แล้วครับ สามารถนำไปใช้งานได้ทันที ท ท ท (ทำทันที) น่ะครับ 





ผมต้องขอออกตัวก่อนน่ะครับว่า หนังสือ เล่มนี้ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโปรโมทหนังสือใดๆ ทั้งสิ้นและผู้อ่านหรือผู้ที่อยู่ในวงการสตาร์ทอัพไทยและเทศต่างก็อาจจะมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวงการสตาร์ทอัพที่แตกต่างกันออกไป


และอาจจะมีบางเล่มเหล่านี้อยู่ในดวงใจหรือมีเล่มอื่นเราไม่ว่ากันครับซึ่งผมคงไม่ได้ทำหน้าที่แปลหรือหน้าที่สรุปหนังสือเหล่านี้ซึ่งมีผู้แปลเป็นไทยไว้แล้วในบางเล่มท่านผู้อ่านสามารถไปซื้อหามาอ่านได้เต็มที่ครับแต่ละเล่มก็มีมากกว่า300หน้า ดังนั้น ถ้าจะให้อ่านทั้งหมดน่าจะใช้เวลา เล่มล่ะ 3-5ชม ดังนั้น เล่มก็จะใช้เวลา ประมาณ 15- 25 ชม 


ซึ่งในความเป็นจริงเราก็จะมีเวลาอ่านหนังสือต่อเนื่องต่อวันเฉลี่ย วันละ 1-2ชม ดังนั้นถ้าจะอ่านทั้ง เล่มให้จบก็จะใช้เวลา ประมาณ1.5 - 3.5 สัปดาห์(Weeks) กันทีเดียวแต่ถ้าใครเป็นคอหนังสือคอรักการอ่านคงไม่ว่ากันครับ..


แต่สิ่งที่ผมจะทำหน้าที่ให้ในบทความนี้ก็คือ ผมจะตกผลึกแนวคิดของผู้แต่งแต่ละเล่มให้เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้นำไปใช้นำไปแชร์แบ่งปันความรู้นี้ให้กับเพื่อนๆ ทั้งสตาร์ทอัพและไม่จำเป็นต้องสตาร์ทอัพก็ได้เช่นกันครับเพราะการอ่านทั้งหมดแล้วไม่ได้สรุปเป็นประเด็นหรือเข้าใจแนวคิดของผู้แต่งได้อย่างถ่องแท้ไม่นานก็ลืมครับ สิ่งที่อ่านมาจำไม่ได้เพราะไม่ได้นำไปใช้งานจริงหรืออ่านเพื่อประดับความรู้เฉยซึ่งไม่นานก็ลืม100%แน่นอนครับ ดังนั้นผมจะทำหน้าที่กลั่นกรองแนวคิดที่ตกผลึกมาให้จากหนังสือทั้ง5เล่มนี้ โดยแบ่งสรุปเป็นเพียงเล่มละ ข้อเท่านั้นซึ่งสามารถนำแนวคิดที่ตกผลึกนี้ไปใช้งานกับธุรกิจของทุกคนได้ทันที...ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันครับ...ลุย


เล่มที่ 1. The Lean Startup แต่งโดย คุณ Eric Rie 




ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า 99.99% ทุกคนที่เป็นสตาร์ทอัพตัวจริงต้องอ่านหรือเสพหรือผ่านการอบรมแนวคิดนี้มาแต่ความจริงก็อาจพบว่ายังมีอีกหลายท่านเช่นกันที่ยังอาจไม่ได้รู้จักแนวคิดนี้มาต่อกันครับ


หัวใจ ข้อ ของเล่มนี้ ผมสรุปได้ดังนี้


1. Lean concept (ถ้าใครเคยได้ยินคำว่า Lean Production ที่ บริษัท Toyota ได้นำมาใช้ในกระบวนการผลิตเผื่อลดความสูญเปล่าลงไปหรือที่เรียกว่า7 Wastes) หลักคิดนี้เป็นหลักคิดเดียวกันแต่เป็นการพูดถึง Lean ในมุมมองการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับลูกค้าให้เร็วที่สุดตรงตามความต้องการของลูกค้าด้วยเช่นกัน)


2.วงจร Lean Startup(Bulid -> Measure-> Learn) การสร้างผลิตภัณฑ์ ->การวัดผล->การเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนจากมุมมองของลูกค้ากับเรา ปล. เรียกว่าทำงานร่วมกันกับลูกค้า


3.การทดสอบสมมติฐานกับลูกค้าจริง ไม่ต้องมานั่ง มโนไปเอง จนเกิดผลิตภัณฑ์ที่เพียงพอที่จะตอบความต้องการของลูกค้าได้ ที่เรียกว่า (MVP, Minimum Viable Product) ไม่ต้องทำจน Perfect 100% แล้วถึงนำไปเสนอลูกค้า มุมมองนี้ต่างจาก มุมมองของ SME และบริษัทขนาดใหญ่ไปเลย จริงไม่จริงลองนึกดูที่ผ่านมากันน่ะครับ


4.มุมมองความสมบูรณ์แบบ vs MVP ถ้าเข้าใจข้อ แล้วข้อนี้เป็นการตอกย้ำครับ หลายคนไม่เข้าใจข้อนี้ยิ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นเดิมยิ่งเข้าใจยากครับ เพราะของยังทำไม่สมบูรณ์แบบ 100% จะขายได้อย่างไรลองดูน่ะครับ ว่า IOS ปล่อยUpdateมาถึง Version 12 แล้ว คำถามคือApple ก็ไม่รอให้ Program สมบรูณ์100%แล้วถึงขายน่ะครับพอ Get น่ะครับ


5.การ Pivot (อ่านว่า ไพวอท) หรือการเปลี่ยนทิศทางธุรกิจเมื่อพบกับปัญหาหรืออุปสรรคประเด็นไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่ทุกท่านต้องทำอยู่แล้วแต่ประเด็นมันอยู่ที่ ความล่าช้าเกิดไปหรือไม่ยอมปรับตัวหรือดื้อดันทุลังเพราะ สตาร์ทอัพเป็นธุรกิจที่มาจาก Passion ของเรา อันนี้ อันตรายมากครับ ผู้ชนะในเกมส์จะมี Radar หรือจมูกที่ดมกลิ่นรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าผู้แพ้หรือผู้ตาม ในโลกแห่งการแข่งขันบนโลกธุรกิจนั้นเองครับ



เล่มที่ 2. Zero to One แต่งโดย คุณ Peter Thiel 






คนนี้เป็นผู้ก่อตั้ง Paypal ก่อนที่จะถูกซื้อไปจาก E Bay และเขายังเป็นนักลงทุนระดับตำนานที่ลงทุนกับเฟสบุ๊คคนแรกอีกด้วย


หัวใจ ข้อ ของเล่มนี้ ผมสรุปได้ดังนี้


1.จงสร้างบริษัทที่ผูกขาดให้กับตัวเองอย่างสร้างสรรค์ เช่นผูกขาดทางเทคโนโลยี ผูกขาดทางด้าน Network ผูกขาดทางด้านBrandingหรือผูกขาดทางด้าน Economy of Scale (ความประหยัดทางด้านขนาดปริมาณที่ผลิตด้วยต้นทุนที่คู่แข่งก็ไม่สามารถลงมาทำได้)


2.จงยึดครองในตลาดเล็กให้ได้ก่อนค่อยขยายไปตลาดที่ใหญ่กว่า (แม่ค้าออนไลน์, SME, ครูโค้ชอาจารย์ รวมทั้งตัวผมเองก็ใช้สูตรนี้กันอยู่ครับ จริงหรือไม่จริง?)


3.คนที่ประสบความสำเร็จจะมองเห็นคุณค่าในที่ที่คนคาดไม่ถึง อะไรที่มันเป็นน่านน้ำสีแดง(Red Ocean) ที่มีการแข่งขันสูง คนฉลาดจะไม่กระโดดลงไปเล่นแน่นอนครับ!เราเฝ้าแต่ที่จะหาน่านน้ำสีฟ้า (Blue Ocean) หรือไม่ก็สร้างตลาดใหม่ (New market) ขึ้นมาเองเลยคำถามคือ เราเป็นเจ้าของบ่อและในนั้นก็มีปลาที่เป็นของเราเองครับ


4.หนังสือเล่มนี้เตือนสติทุกคนไม่ให้เหลิง คือ "จงอย่าประเมินคู่แข่งของคุณต่ำเกินไป โดยคิดว่าเราเป็นเจ้าตลาด.....ห้ามประเมินตัวเราแบบนี้ครับ เพราะอันตรายมาก ถ้าใครยังจำเรื่อง Five Force Model ได้ (ผมเพิ่มเติมมาให้น่ะครับ ) คู่แข่งเรามีตั้งหลายทาง ทั้งทางตรงทางอ้อม จากอุสาหกรรมเดียวกันและต่างอุตสาหกรรมประโยคนี้ต้องใช้คำว่าDisruptiveถึงเข้าท่าทันยุคทันสมัยเช่น เดียวนี้ แบงค์ก็ไม่ได้กลัวแบงค์ด้วยกันแล้วครับ แต่แบงค์ดันไปกลัว Non Bank ที่สามารถทำธุรกิจการเงินได้เหมือนกับแบงค์เช่นกัน ลองนึกภาพตามน่ะครับ


5.เกร็ดความรู้ท้ายเล่มนี้ เน้นเรื่อง การขายของครับ ที่ว่า "เปลียนจากนักขายไปเป็นนักเจรจาธุรกิจเพราะยิ่งทำการขายให้เหมือนกับการแสดงยิ่งแนบเนียนยิ่งขายของได้มากยิ่งขึ้นกว่ามุมมองSalemanที่ตั้งหน้าตั้งตาขายอย่างเดียวในอดีต...


เล่มที่ 3. All in Startup แต่ง โดย คุณ Diana Kander 





เล่มนี้แต่งแบบนิยายโดยมีตัวละคร ผู้ชาย และผู้หญิง 2คนเดินเรื่อง โดยมี ผู้หญิงSexy 1 คนที่มาสอนความรู้ธุรกิจตลอดเรื่องให้กับผู้ชายคนดังกล่าว ใครที่ชอบแนวนิยายเป็นธูรกิจให้อ่านเล่มนี้ครับ


หัวใจ ข้อ ของเล่มนี้ ผมสรุปได้ดังนี้


1.ธุรกิจใหม่ คือการหาลูกค้าไม่ใช่เอาเวลาไปสร้างหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ประโยคนี้ต้องตีความให้ดีน่ะครับ อย่าตีความผิดเพราะจริงๆ แล้วที่เล่มนี้ต้องการสื่อก็คือเวลาที่เรามีไอเดียทางธุรกิจอะไรใหม่ๆ จงออกไปคุยกับลูกค้าเลยครับ ว่าเขาต้องการแบบนี้ไหมคล้ายๆ กับเรื่องแนวคิดของ Lean หรือ MVP นั่นล่ะครับ


2.ผู้ประกอบการคือนักสืบ ไม่ใช่หมอดู


3.คุณต้องแก้ปัญหาที่ลูกค้ามีอยู่แล้วไม่ใช่โน้มน้าวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น (ผมเสริมว่าอันนี้คนละแนวคิดกับการขายประกันชีวิตน่ะครับ)


4.สตาร์ทอัพไม่ใช่เป็นเวอร์ชั่นที่เล็กกว่าของบริษัทขนาดใหญ่---ประโยคนี้เข้าใจว่าผู้แต่งน่าจะนำมาจากหนังสือเล่มที่4ของคุณ Steve Blank เพราะพูดเหมือนกันเลย เลยไม่แน่ใจว่าใครพูดก่อนใครแต่ผมว่า Steve Blank เขียนก่อนในหนังสือเขาน่ะครับ ทำไมแนวคิดข้อนี้ถึงต้องเน้นย้ำ เพราะ บริษัทขนาดใหญ่ มีลูกค้าที่ชัดเจนอยู่แล้ว มีสินค้าที่ชัดเจนอยู่แล้ว ต่างจากสตาร์ทอัพที่ทำไปก็ปรับไปเรื่อยๆ พอเห็นภาพน่ะครับ


5.จงพิสูจน์ว่าปัญหามีอยู่จริงและควรค่าแกการแก้ไขให้กับลูกค้าและลูกค้าต้องการแก้ไขปัญหานั้นๆ จริงๆข้อนี้สำคัญครับเพราะมันจะทำให้ Passion ของเราลดลงไปเมื่อไปเจอกับปัญหาจริงของลูกค้าที่ควรค่าแกการแก้ไข จะได้ Pivotปรับเปลี่ยนทิศทางธุรกิจให้ทันครับ




เล่มที่ 4. The Startup Owner's Manual แต่ง โดย คุณ Steve Blank

แต่งไว้ตั้งแต่ปี2012ส่วนตัวผมชอบเล่มนี้มากที่สุด มี 573 หน้า แต่ผมอ่านใน E-Book Kindle น่ะครับยังไม่มีใครแปลเป้นภาษาไทย





เล่มนี้พูดถึงเรื่อง "ลูกค้า" ทั้งเล่มเลยครับ ตั้งแต่การออกตามหาว่าใครคือลูกค้าของเราลูกค้าต้องการอะไร? , แล้วสุดท้ายเขาคือลูกค้าตัวจริงของเราหรือเปล่ ลูกค้า ลูกค้า และ ลูกค้า


หัวใจ ข้อ ของเล่มนี้ ผมสรุปได้ดังนี้


1. Customer Discovery การออกไปค้นพบว่าใครคือลูกค้าของเรากันแน่?


2. Get out of the Building(การออกไปนอก Office เพื่อไปพบลูกค้าของเราเพราะคำตอบของลูกค้าไม่เคยอยู่ในโต๊ะการประชุม) เราต้องออกไปทดสอบ ปัญหากับวิธีการแก้ไขกับลูกค้าของเราว่าลูกค้าตอบสนองอย่างไร Work หรือไม่ Work 


3. Customer Validation ลูกค้าคนนั้นใช่
คนที่เราตามหาหรือเป็นลูกค้าตัวจริงหลังการค้นพบในข้อ1หรือเปล่า ผมเปรียบเทียบง่ายๆ เขาคนนั่นก็คือแฟนตัวยงใน facebook fanpage ของเรานั่นเอง


4.ผู้ประกอบการไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวเหมือนตำราปรุงอาหาร(Cookbook) หรือต้องมี Checklist ว่าถ้าคุณต้องทำตามนี้คุณถึงจะประสบความสำเร็จ -->ข้อนี้เป็นเรื่องของ Mindset ของผู้ประกอบการล้วนๆ เลยครับ ดังนั้น ทุกความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นสูตรเฉพาะตัวใครก็เลียนแบบให้เหมือนแล้วคิดว่าจะประสบความสำเร็จรีบคิดใหม่หาสูตรเฉพาะตัวกันดีกว่าครับ!สูตรใครสูตรมัน!


5. Startups are not simply smaller versions of large companies ผมแปลและถามว่าทำไมในหัวใจข้อที่ ของหนังสือเล่มที่ ข้างบนแล้วลองย้อนขึ้นไปอ่านน่ะครับ


เล่มที่ 5. เล่มสุดท้ายGrowth Hacker Marketing แต่ง โดย คุณ Ryan Holiday 





ผมว่า สตาร์ทอัพไม่กี่คน ที่จะเคยได้ยินคำนี้ถ้าไม่มาศึกษาแนวคิดนี้กันก่อนน่ะครับ เพราะ ศัพท์นี้ Growth Hacker, Growth Hacking มันเกี่ยวข้องกับการที่เราจะเพิ่มจำนวน Userหรือคนใช้งานใน Product หรือ Serviceของเราให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล นึกภาพตามน่ะครับ


เช่นการสร้าง Viral Clip แป๊บเดียวคนดู เป็น ล้านวิว ,เกมส์โปเกมอน ที่ไม่กี่นาทีคนเล่นทะลุหลักหลายล้านคนการควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าในธุรกิจอย่างมหาศาลหรือ วิธีการทำ PRหรือ Marketing ด้วยแนวทางต้นทุนต่ำแต่ได้ผลกระทบอย่างมหาศาล จนมีคนกล่าวไว้ว่า"Growth Hacker คือ VP Marketing ดูยิ่งใหญ่จัง" และ Tim Ferris ผู้แต่งหนังสือ The 4 Hour work week ก็ยังมาเขียนคำนิยมให้กับ คุณ Ryan Holiday ว่า "Growth Hacking คือ ความลับของอาวุธรูปแบบใหม่ทางการตลาด


หัวใจ ข้อ ของเล่มนี้ ผมสรุปได้ดังนี้


1. Growth Hacking คือ การสร้างกลไกทางการตลาดให้มันขับเคลื่อนได้ด้วยตัวของมันเองไปถึงคนหมู่มากด้วยต้นทุนทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ที่ต่ำมากๆ เช่นการสร้าง Viral clip, การ ตอบ Email ในระบบที่มีการเก็บฐานข้อมูลของลูกค้าการส่งต่อของกำนัลบัตรของขวัญให้เพื่อนโดยการระบุ Email หรือเบอร์โทรของเพื่อน


2.จง สร้าง Viral Loop เพื่อให้เกิดการส่งต่อหรือพูดต่อๆ กันไปในสื่อโมษณาหรือประชาสัมพันธ์


3. Open up to feedback from customer (การเปิดรับFeedbackจากลูกค้าเพื่อนำลูกค้าเหล่านั้นเก็บเป็นฐานข้อมูล)


4.จงสร้าง Wow Factor ในธุรกิจของคุณเพื่อให้เกิดการทดลองใช้และขยายผลไปเป็นจำนวนUserในระบบอย่างมหาศาล


5.จะเกิด Growth User หรือViralityได้Product กับMarketต้อง Fit กันก่อน (ไปทำความเข้าใจเล่มที่ 1-4 ก่อนครับ)


สรุปเล่มที่ นี้เน้นเรื่องการเติบโตของจำนวนลูกค้าหรือจำนวนUserผู้ใช้งาน ด้วยแนวคิดของ Growth Hacking ซึ่งมันตรงพอดีกับแนวคิดของการทำธุรกิจแบบสตาร์อัพนั่นเองที่เน้นอยู่ เรื่องหลักคือ 1.Repeatable(การทำซ้ำได้)  2. Scalable(การขยายตัวได้) 


บทความนี้ยาวหน่อยน่ะครับ จะได้ไม่ต้องไปอ่านหนังสือทั้ง 5เล่ม กับเวลา 3-4 อาทิตย์ ผมย่อยมาให้แล้วท่านผู้อ่านทุกคนสามารถนำแนวคิดนี้ไปพัฒนาธุรกิจของตัวเองกันได้เลยทั้งที่เป็นสตาร์ทอัพและไม่เป็นสตาร์ทอัพก็สามารถนำแนวคิดจากหนังสือทั้ง5เล่มนี้ที่

ผมตกผลึกย่อยพร้อมเคี้ยวให้ทุกท่านได้รับอาหารสมองในบทความนี้และสามารถนำไปใช้งานได้จริงไม่ใช่อ่านเพื่อประดับความรู้แต่ผมเน้นอ่านเพื่อนำแนวคิดพวกนี้ไปใช้งานจริงในโลกธุรกิจครับ! 


ถ้าชอบบทความนี้....สามารถแชร์เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ หรือคนที่คุณรักในวงการสตาร์ทอัพหรือคนที่ทำธุรกิจทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์ของแนวคิดธุรกิจแบบสตาร์ทอัพได้ครับทั้ง SME หรือ บริษัท ขนาดใหญ่  หรือคนที่จะทำธุรกิจสตาร์ทอัพหรือผู้ที่สนใจแนวคิดของธุรกิจสตาร์ทอัพได้ครับ
และมาร่วมกันพัฒนา Startup ไทยของเราไปด้วยกันครับ

อาจารย์อ๊ะ


อาจารย์อ๊ะ-สอนธุรกิจให้คิดแบบ Startup

 "แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับผมและสามารถติดตามผมได้ที่ช่องทางด้านล่างเหล่านี้ รวมถึงสามารถเป็น FC ของผมเพื่อรับข้อมูลธุรกิจสตาร์ทอัพและแนวคิดทางธุรกิจและเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจอีกมากมายได้ที่ ไลน์ พิมพ์หา ที่ @ajarnah (มี@) แล้วพบกันครับ!  "เหล่ามิตรรักแฟนคลับสตาร์ทอัพของอาจารย์อ๊ะทุกคน" 


-ด้วยรัก-

อาจารย์อ๊ะ-สอนธุรกิจให้คิดแบบ Startup
(The Prince Of Startup)


"ถ้าชอบบทความนี้ ขอแค่ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผมในการเขียนบทความต่อๆ ไปก็พอแล้วครับ  ส่วนใครชอบก็กดไลท์(Like) ใครใช่ก็กดแชร์(Share) ได้ครับผม^^"

See you again!

***ติดตาม อาจารย์อ๊ะได้จากช่องทางด้านล่างนี้ครับ

1เฟสบุ๊คส่วนตัว(Facebook Profile)

2.1 เฟสบุ๊คแฟนเพจ1 (Fanpage)
***เน้นเรื่องแรงบันดาลใจ

2.2 เฟสบุ๊คแฟนเพจ2 (Fanpage)
***เน้นเรื่องการสอนธุรกิจให้คิดแบบ Startup

3. ยูทูป(YouTube)

4.อินสตาแกรม(Instagram) 

5.Line@ เพื่อเป็น FC ของอาจารย์อ๊ะ(พิมพ์หา @ajarnah) มีด้วย กดแอดเพิ่มเพื่อนทักมาได้เลยครับ!


ปลถ้าอาจารย์อ๊ะ ถ่ายทอดสด Live เฟสบุ๊ควันไหนจะแจ้ง FC ทุกท่านให้ทราบล่วงหน้าอีกครั้งน่ะใน Line@ น่ะครับ แล้วพบกันครับ

ผลงานเขียนของอาจารย์อ๊ะกับหนังสือชื่อ The Power of Positive Inspiration(แต่งเป็นภาษาอังกฤษที่คนไทยสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย) 
กดดาวน์โหลด(Download) อ่านได้แล้ววันนี้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ!